เรื่องล่าสุด
-
สกุล Astrophytum
มกราคม 9, 2025
-
ขั้นตอนการเพาะเมล็ด 2
มกราคม 8, 2025
-
สกุล Espostoa
มกราคม 8, 2025
-
สกุล Parodia
มกราคม 7, 2025
-
ความเป็นมาของแคคตัส
มกราคม 7, 2025
-
การให้น้ำแคคตัส
มกราคม 6, 2025
-
โรคทางกายภาพ
มกราคม 6, 2025
-
กลุ่ม Mammillaria
มกราคม 5, 2025
-
สกุล Rhipsalis
มกราคม 5, 2025
-
กลุ่ม Echinocactus
มกราคม 4, 2025
|
ภาชนะปลูกแคคตัส ในปัจจุบันนี้กระถางดินเหนียวยังคงได้รับความนิยมใช้กันมากที่สุด เพราะน้ำซึมผ่านได้เร็ว จึงไม่ต้องกังวลกับปัญหาการให้น้ำมากเกินจนต้นตาย แต่ข้อเสียของกระถางชนิดนี้ก็มีอยู่บ้าง นั่นคือ กระถางดินเหนียว มีรูพรุน น้ำจึงระเหยออกด้านข้างกระถางได้เรื่อยๆ ทำให้อาหารในดินสูญเสียไป จะสังเกตได้ว่าถ้าปลูกแคคตัสต้นเล็กๆ ในกระถางนี้ ต้นที่อยู่ในบริเวณกลางกระถางจะมีลักษณะแคระแกร็น ปัญหาการระเหยของน้ำนี้อาจแก้โดยการฝังกระถางบางส่วนไว้ใต้ทราย กรวด หรือถ่านพีท แต่อาจจะมีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกก็คือ รากจะงอกทะลุรูที่ฐานกระถางลงสู้พื้นดินได้
ส่วนกระถางพลาสติกนั้นจะไม่ทำให้สูญเสียความชุ่มชื้นไปตามผิวกระถางเหมือนกระถางดินเหนียว เพราะน้ำจะระบายออกทางรูที่ฐานเท่านั้น นอกจากนี้กระถางพลาสติกยังมีน้ำหนักเบา และไม่มีตะไคร่ขึ้นตามผิวกระถางด้วย แต่ปัญหาในการใช้กระถางพลาสติกนั้นก็คือ ถ้าใช้ในที่มีอุณหภูมิสูงในฤดูร้อนเป็นเวลา 2-3 ปี กระถางกรอบจะเริ่มแตก ดังนั้นสถานที่ที่เหมาะสมกับกระถางชนิดนี้มากที่สุด คือ บริเวณในร่มและตามขอบหน้าต่าง
วิธีใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมและสามารถใช้ได้เป็นอย่างดี นั่นคือ การปลูกเป็นแนวยกชั้น (staging beds) โดยแต่ละชั้นจะมีความลึกประมาณ 5-6 นิ้ว และปูรองด้วยแผ่นพลาสติก โดยอาจจะมีหรือไม่มีรูระบายน้ำก็ได้ นอกจากนี้การเลือกประเภทของวัสดุที่ใช้ในการทำกระถางปลูกแล้ว ขนาดของกระถางก็มีความสำคัญเช่นกัน ควรเลือกกระถางให้มีความเหมาะสมกับต้น โดยพิจารณาจากเนื้อที่ว่างระหว่างผิวต้นกับขอบกระถาง หากเหลือเนื้อที่น้อยกว่า 1 นิ้ว แสดงว่าแคคตัสมีขนาดโตเกินไปสำหรับกระถาง ควรเปลี่ยนใหม่ ให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม แต่ทั้งนี้ไม่ควรเลือกกระถางที่มีขนาดใหญ่เกินไป เพราะจะทำให้ต้นโตช้า เนื่องจากวัสดุปลูกอุ้มน้ำมากเกินไปและบางครั้งอาจทำให้รากเน่าตายได้
แบบกระถางที่เลือกใช้ควรมีลักษณะที่เหมาะสมกับรูปทรงต้น หรือพันธุ์ที่นำมาปลูก ถ้าเป็นพันธุ์ต้นเตี้ยหรือทรงกลม ควรปลูกในกระถางที่ค่อนข้างกลมหรือสี่เหลี่ยมมนๆ ก้นกระถางไม่ควรสอบเข้าแบบถ้วยจอก และไม่ควรเป็นแบบกระถางทรงสูงเกินไป แต่ถ้าหากเป็นพันธุ์ที่เป็นเหลี่ยมทรงสูง ก็สามารถปลูกในกระถางที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมหรือกระถางทรงกลมได้
การจับต้นลงปลูกในกระถางให้ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์หรือเศษผ้าจับลำต้นเพื่อป้องกันหนามตำมือ โรยดินผสมรอบๆ ต้น ใช้ไม้เล็กๆ กดดินให้แน่นพอประมาณ ตกแต่งหน้าดินให้เรียบก่อนโรยหินแต่งหน้าให้เสมอขอบกระถาง
การเปลี่ยนกระถางปลูกทำได้โดยใช้ผ้าหรือกระดาษหุ้มรอบต้น เพื่อป้องกันอันตรายจากหนามและเพื่อไม่ให้ต้นกระทบกระเทือน เคาะกระถางเบาๆ ให้ต้นหลุดออกมา แล้วนำไปปลูกในกระถางใหม่ต่อไป
สกุล Copiapoa แคคตัสในกลุ่มนี้มีอยู่ประมาณ 40 ชนิดและมีอีกหลายสายพันธุ์ ชื่อสกุล Copiapoa มาจากชื่อของเมืองโคเปียในประเทศชีลี แคคตัสสกุลนี้มีรูปร่างและลักษณะที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งต้นขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางแค่ 2-3 เซนติเมตร จนถึงต้นที่มีขนาดใหญ่สูงกว่า 1 เมตร บ้างก็ขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆ บ้างก็ขึ้นรวมกันอยู่เป็นกลุ่มๆ ขนาดใหญ่ สีของต้นมีทั้งสีเทา สีฟ้าอมเทา จนไปถึงสีเขียว ตุ่มหนามมักมีขนาดใหญ่ เป็นรูปไข่และมีขนขึ้นปกคลุมเป็นปุยนุ่ม หนามก็มีลักษณะแตกต่างกันหลายประเภท แม้แต่ในชนิดเดียวกันหนามก็อาจจะมีลักษณะแตกต่างกันได้ และมักจะไม่สามารถแยกหนามกลางและหนามข้างออกจากกันได้อย่างชัดเจนนัก แต่ก็พอจะแยกได้ว่าหนามข้างจะมีประมาณ 1-13 อัน ส่วนหนามกลางอาจจะมีถึง 20 อันหรือมไ่ม่มีก็เลย ชนิดที่มีต้นขนาดเล็ก มักมีหนามเล็กละเอียด ชนิดที่มีขนาดใหญ่หนามก็จะแข็งแรงและยาวได้ถึง 5 เซนติเมตร หนามอาจมีลักษณะตั้งตรงหรือโค้งงอ มีหลายสีตั้งแต่สีขาว สีเหลือง สีน้ำตาลแดง จนถึงสี ดำ
ดอกส่วนใหญ่อยู่ในเฉดสีเหลือง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3.5 เซนติเมตร เกิดในบริเวณปุยนุ่มที่ยอดต้น ผลมีลักษณะทรงกลม ขนาดเล็ก มีสีเทาจนถึงสีออกเหลือง เมื่อผลสุกจะแตกออกแคคตัสสกุลนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางเหนือของชิลี พบมากในบริเวณแห้งแล้งกันดาร เพาะด้วยเมล็ดได้ง่าย แต่ชนิดที่มีทรงต้นขนาดใหญ่มักงอกเป็นต้นช้า ส่วนชนิดที่มีขนาดเล็กสามารถเจริญเติบโตและออกดอกได้ในเวลา 2-3 ปี แคคตัสกลุ่มนี้ชอบดินที่ระบายน้ำได้ดี ชอบแสงแดดและทนต่อสภาพอากาศเย็นได้เป็นอย่างดี
แคคตัสบางพันธุ์สามารถปลูกในอาคารได้ดี แต่บางพันธุ์ก็ต้องการแสงแดดมาก ช่วงแสงที่เหมาะสมกับแคคตัสนั้นควรเป็นช่วงเช้าหรือช่วงบ่าย ที่แดดไม่ร้อนจนเกินไปนัก ควรจัดวางภาชนะปลูกแคคตัสไว้ริมหน้าต่างที่แสงแดดสามารถส่องถึงได้ในตอนเช้า หรือถ้าหากตั้งไว้ในที่มีไม่มีแสงแดดเลย ก็ควรนำออกไปตากแดดริมหน้าต่างบ้าง เพียงวันละ 1-2 ชั่วโมง หรืออาจจะน้อยกว่านั้นก็ได้ตามแต่ความเหมาะสม และการดูแล
ต้นแคคตัสที่ได้รับแสงแดดในปริมาณที่พอเหมาะจะสามารถเจริญเติบโตได้ดี สีสันของหนามและของต้นจะสวยงาม แต่ถ้าหากได้รับแสงแดดจนมากเกินไปจะทำให้ต้นแห้ง เป็นสีน้ำตาล ดังนั้น ควรให้ร่มเงาหรือพรางแสงให้กับสถานที่เลี้ยงแคคตัสด้วย โดยให้เหลือแสงประมาณ 70-80 เปอร์เซน ก็พอแล้ว
สำหรับอุณหภูมิที่เหมาะสมกับแคคตัสนั้น สามารถอธิบายได้ดังนี้ แคคตัสส่วนใหญ่เป็นพืชเมืองร้อน บางชนิดอยู่ได้ในทะเลทรายดังนั้น ในประเทศไทยซึ่งมีอากาศค่อนข้างร้อน จึงเหมาะสมสามารถปลูกเลี้ยงแคคตัสได้ดีเกือบทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นในโรงเรือนที่อุณหภูมิประมาณ 27-32 องศาเซลเซียส หรือในช่วงเดือนเมษายนที่มีอุณหภูมิถึง 38 องศาเซลเซียสก็ตาม สำหรับในช่วงฤดูหนาวนั้น ถ้าเป็นแคคตัสที่พึ่งตัดชำก็จะทำให้ออกรากช้า หรือถ้าเป็นต้นที่อยู่ตัวดีแล้วก็อาจจะทำให้เจริญเติบโตช้าลงไปบ้างเท่านั้น
สกุล Cleistocactus แคคตัสในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยแคคตัสมากกว่า 50 ชนิด และอีกหลากหลายสายพันธุ์ ชื่อสกุล Cleistocactus มาจากภาษากรีก โดยหมายถึง Closed Cactus หรือการผสมพันธุ์ที่เกิดขึ้นภายในดอกที่หุบอยู่ (เรียกดอกประเภทนี้ว่า cleisotogamous flower) ลำต้นอาจมีลักษณะตั้งตรงหรือโค้งงอ รูปร่างเรียวสูง และจะแตกกิ่งก้านอย่างอิสระ พวกที่มีลำต้นตั้งตรง อาจมีความสูงได้มากกว่า 2 เมตร ในขณะที่พวกที่มีลำต้นโค้งงอ เช่น Cleistocactus dependens อาจะมีความสูงได้ถึง 5 เมตรหรือมากกว่านั้น ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5-6.50 เซนติเมตร และมีสันประมาณ 7-26 สัน
แคคตัสกลุ่มนี้บางชนิด เช่น Cleistocactus strausil พูกลีบจะถูกปกคลุมไปด้วยหนามละเอียดมากมาย เนินหนามอยู่ชิดติดกันและมีขนาดเล็ก ประกอบไปด้วยหนามกลางที่ยาวและแข็งแรง 4 อัน หนามข้างประมาณ 8-30 อัน หรือมากกว่านั้น ลักษณะละเอียดและอาจยาวได้ถึง 1.25 เซนติเมตร
ดอกมีลักษณะเป็นหลอด เปิดออกเฉพาะส่วนปลายเท่านั้น หลอดดอกอาจจะมีลักษณะตรง หรือเป็นแบบ Zygomorphic (ลักษณะของดอกที่แบ่งตามแนวเส้นผ่าศูนย์กลางได้เป็น 2 ส่วน ทั้ง 2 ส่วนจะมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ และแบ่งได้เพียง 1 ครั้ง) ในบางชนิดดอกอาจะมีลักษณะเป็นแบบ Zygomorphic อย่างชัดเจน และมีรูปร่างคล้ายหม้อต้มกาแฟ ด้านนอกของดอกประกอบด้วยขนสั้นๆ ที่พัฒนามาจากใบของต้น โดยเฉพาะแคคตัสชนิด Cleistocactus strausii นั้น พบว่ามีขนอยู่มากมายบริเวณดอก สีดอกมีตั้งแต่เฉดสีเหลืองจนไปถึงสีเขียวสว่าง หรือเฉดสีแดงจนถึงม่วง ผลมีลักษณะทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.25 เซนติเมตร หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ส่วนเปลือกมีสีและลักษณะเหมือนด้านนอกของหลอดดอก
แคคตัสสกุล Cleistocactus นี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในตอนกลางของเปรู ทางตะวันออกของโบลิเวีย และทางตอนเหนือของอาร์เจนตินา ปารากวัย และอุรุกวัย สามารถขยายพันธุ์ได้ง่ายทั้งการเพาะเมล็ดและตัดแยก ออกดอกตลอดทั้งปี และอดทนต่ออุณหภูมิที่หนาวเย็นได้
กลุ่ม Cereus แคคตัสกลุ่มนี้เรารู้จักกันในชื่อของกระบองเพชร จึงไม่มีใบหรือ giochids (หนามหรือขนแข็งที่มีปลายโค้งงอ อาจจะอยู่รวมกันเป็นกระจุกๆ ) เมล็ดมีสีดำหรือน้ำตาล ลักษณะต้นเป็นทรงกระบอก มีสันและหนามปกคลุม หรือไม่มีก็ได้
แคคตัสในกลุ่มนี้ปลูกเลี้ยงง่ายและชอบแสงแดดมาก มีอยู่ด้วยกันหลายสกุล เช่น Armatocereus , Arrojadoa, Bergerocactus , Borzicactus , Brachycereus , Browningia , Calymmanthium , Carnegiea , Cephalocereus , Cereus , Chamaecereus , Cleistocactus ,Corryocactus , Dendrocereus , Echinocereus , Erdisia , Escontria , Eulychnia , Harrisia , Hildwinters , Jasminocereus , Lemaireocereus , Lophocereus , Machaerocereus , Micranthocereus , Monvillea , Mytillocactus , Neoraimondia , Nyctocereus , Pachycereus , Peniocereus , Pilosocereus , Rathbunia , Selenicereus , Stetsonia Trichocereus , Cereus jamacaru , Cereus peruvianus , Cereus Chalybaeus เป็นต้น
|
|