เรื่องล่าสุด

หมวดหมู่

โรคจากเชื้อโรค

opuntia

โรคจากเชื้อโรคของแคคตัสมีอยู่ด้วยกัน 3 โรคหลักๆ คือ

1. เชื้อไวรัส (virus) เกิดกับแคคตัสบางสกุลเท่านั้น เช่น สกุล Epiphyllum มีลักษณะเป็นจุดสีเหลืองๆ หรือสีม่วง มีผลในการทำลายดอก สามารถกำจัดได้โดยการตัดส่วนที่เป็นโรคทิ้งแล้วเผาทำลาย

2. เชื้อ Corky Scab เกิดกับแคคตัสในสกุล Opuntia และ Epiphyllum อาการที่พบได้คือ เป็นฝุ่นสนิมหรือจุดบนลำต้น ซึ่งเกิดจากการที่เชื้อชนิดนี้เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้ต้นเหี่ยวและยุบลง เมื่อพบต้องทำลายทิ้งทันที

3. เชื้อรา มีผลทำให้เกิดรอยถลอกหรือช้ำเน่า กำจัดได้โดยการตัดส่วนที่เป็นโรคทิ้ง (fungus diseases) และทำลาย หลังจากนั้นให้ปิดปากแผลด้วยผงซัลเฟตหรือยาฆ่าราอื่นๆ

สกุล Cleistocactus

Cleistocactus

สกุล Cleistocactus แคคตัสในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยแคคตัสมากกว่า 50 ชนิด และอีกหลากหลายสายพันธุ์ ชื่อสกุล Cleistocactus มาจากภาษากรีก โดยหมายถึง Closed Cactus หรือการผสมพันธุ์ที่เกิดขึ้นภายในดอกที่หุบอยู่ (เรียกดอกประเภทนี้ว่า cleisotogamous flower) ลำต้นอาจมีลักษณะตั้งตรงหรือโค้งงอ รูปร่างเรียวสูง และจะแตกกิ่งก้านอย่างอิสระ พวกที่มีลำต้นตั้งตรง อาจมีความสูงได้มากกว่า 2 เมตร ในขณะที่พวกที่มีลำต้นโค้งงอ เช่น Cleistocactus dependens อาจะมีความสูงได้ถึง 5 เมตรหรือมากกว่านั้น ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5-6.50 เซนติเมตร และมีสันประมาณ 7-26 สัน

แคคตัสกลุ่มนี้บางชนิด เช่น Cleistocactus strausil พูกลีบจะถูกปกคลุมไปด้วยหนามละเอียดมากมาย เนินหนามอยู่ชิดติดกันและมีขนาดเล็ก ประกอบไปด้วยหนามกลางที่ยาวและแข็งแรง 4 อัน หนามข้างประมาณ 8-30 อัน หรือมากกว่านั้น ลักษณะละเอียดและอาจยาวได้ถึง 1.25 เซนติเมตร

ดอกมีลักษณะเป็นหลอด เปิดออกเฉพาะส่วนปลายเท่านั้น หลอดดอกอาจจะมีลักษณะตรง หรือเป็นแบบ Zygomorphic (ลักษณะของดอกที่แบ่งตามแนวเส้นผ่าศูนย์กลางได้เป็น 2 ส่วน ทั้ง 2 ส่วนจะมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ และแบ่งได้เพียง 1 ครั้ง) ในบางชนิดดอกอาจะมีลักษณะเป็นแบบ Zygomorphic อย่างชัดเจน และมีรูปร่างคล้ายหม้อต้มกาแฟ ด้านนอกของดอกประกอบด้วยขนสั้นๆ ที่พัฒนามาจากใบของต้น โดยเฉพาะแคคตัสชนิด Cleistocactus strausii นั้น พบว่ามีขนอยู่มากมายบริเวณดอก สีดอกมีตั้งแต่เฉดสีเหลืองจนไปถึงสีเขียวสว่าง หรือเฉดสีแดงจนถึงม่วง ผลมีลักษณะทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.25 เซนติเมตร หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ส่วนเปลือกมีสีและลักษณะเหมือนด้านนอกของหลอดดอก

แคคตัสสกุล Cleistocactus นี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในตอนกลางของเปรู ทางตะวันออกของโบลิเวีย และทางตอนเหนือของอาร์เจนตินา ปารากวัย และอุรุกวัย สามารถขยายพันธุ์ได้ง่ายทั้งการเพาะเมล็ดและตัดแยก ออกดอกตลอดทั้งปี และอดทนต่ออุณหภูมิที่หนาวเย็นได้

สกุล Rebutia

Rebutia

สกุล Rebutia แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่มากกว่า 70 ชนิดและอีกหลากหลายสายพันธุ์ด้วยกัน ชื่อสกุล Rebutia นั้นตั้งขึ้นเพื่อแสดงความเป็นเกียรติแก่ P. Rebut พ่อค้าแคคตัส สำหรับสกุลนี้มีลักษณะเป็นทรงกลมหรือทรงกระบอก ลำต้นอ่อนนุ่ม มักขึ้นอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ในหัวหนึ่งจะประกอบไปด้วยเนินหนาม ตุ่มหนามขนาดเล็กประกอบไปด้วยหนามละเอียด ขนาดเล็ก ซึ่งมีทั้งลักษณะแผ่กระจายหรือแนบชิดไปกับลำต้น มีหลายสีด้วยกัน เช่น สีขาว สีเหลือง สีน้ำตาล

ดอกมีลักษณะทรงกรวย ขึ้นอยู่เป็นรอบๆ ต้นเหนือผิวดิน มีมากมายหลายสี ยกเว้นโทนสีฟ้า ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร ส่วนผลมีลักษณะทรงกลม ขนาดเล็กมาก มีหนามเล็กๆ อยู่ 2-3 อัน เมื่อแก่จะมีหลายสี เช่น สีแดง สีเหลือง หรือสีน้ำตาล

แคคตัสสกุล Rebutia มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตเทือกเขาสูงในโบลิเวีย และทางตอนเหนือของอาร์เจนตินา ในระดับความสูง 3,000 เมตร ซึ่งมีอากาศหนาวเย็น และมีหิมะปกคลุม แต่มีความชื้นในบรรยากาศต่ำ ออกดอกมากในฤดูหนาว ดินที่ใช้ปลูกมีธาตุอุดมสมบูรณ์ เช่น มีฮิวมัสอย่างน้อย 30 เปอร์เซนต์ ไม่ชอบแสงแดดจัด ในฤดูร้อนไม่ควรรดน้ำมาก และควรงดให้น้ำในฤดูหนาว เพื่อให้สามารถทนต่อสภาพอากาศหนาวเย็นได้

สกุล Weingartia

Weingartia

สกุล Weingartia แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่ด้วยกัน 24 ชนิดและอีกหลากหลายสายพันธุ์ ชื่อสกุล Weingartia ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Wilhelm มีลักษณะเป็นทรงกลม มีทั้งที่ขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆ และขึ้นอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ ลำต้นเป็นสัน 21 สัน ตุ่มหนามมีลักษณะรูปไข่ ปกคลุมด้วยปุยนุ่มสีขาว มีขนาดใหญ่กว่า 1.25 เซนติเมตร ประกอบไปด้วยหนามข้างที่มีลักษณะโค้งงอ หรือแนบชิดไปกับลำต้น ประมาณ 16 อัน แต่ละอันยาวประมาณ 0.5-3 เซนติเมตร และหนามกลางที่มีลักษณะคล้ายหนามข้าง มีหลายสี เช่น สีขาว สีเหลือง สีน้ำตาล ส่วนปลายหนามจะมีสีเข้มกว่า มีอยู่ประมาณ 3-15 อัน แต่ละอันยาวประมาณ 1-5 เซนติเมตร

ดอกมีสีเหลืองส้มถึงสีม่วง มักออกเป็นวงตรงกลางยอดของต้น ในบางชนิดจะออกดอกมากกว่า 1 ดอกในเนินหนามเดียว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร ผลมีลักษณะรูปไข่ มีสีเหลืองเขียวถึงสีเขียวคล้ำ และจะเป็นสีแดงเมื่อแก่ มีขนาดความยาวกว่า 1 เซนติเมตร

แคคตัสในสกุล Weingartia มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตะวันออกของโบลิเวีย ทางตอนเหนืของอาร์เจนติน่า และในชิลี ขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด ออกดอกเมื่ออายุ 2-3 ปี ชอบดินที่มีการระบายน่ำดี และชอบน้ำมากในช่วงอากาศร้อน

การเพาะเมล็ด

การขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ลงทุนน้อย ต้นใหม่จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเกิดในปริมาณมาก ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเพาะเมล็ด คือ ช่วงระหว่างเดือนเมษายนถึงปลายเดือนกรกฏาคม อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ได้แก่

เมล็ดเล็กๆ จำนวนมากในผลซึ่งสุกเต็มที่ วิธีสังเกตว่าผลสุกเต็มที่แล้วหรือยัง ให้สังเกตจากการเปลี่ยนสีของผล ลักษณะผลจะนุ่มขึ้นหรือแห้ง โดยเมล็ดที่จะนำมาเพาะนั้นต้องนำไปผึ่งให้แห้งในที่ร่มที่มีอากาศถ่ายเท

ภาชนะเพาะเมล็ด จะเป็นกระบะ ตะกร้า หรือกระถาง ก็ได้ แต่ต้องเป็นภาชนะที่ช่วยรักษาความชื้นได้อย่างเหมาะสมและคงที่อยู่เสมอ สำหรับอากาศร้อนอย่างเมืองไทย อาจใช้กระดาษหนังสือพิมพ์คลุมทับ หรือใช้ถุงพลาสติกห่อภาชนะเพาะเพื่อช่วยรักษาความชื้น ภาชนะเพาะเมล็ดควรเตรียมไว้ 2-3 ใบ และเจาะรูที่ก้นไว้ทุกใบ เพราะความชื้นจะขึ้นมาที่เมล็ดได้ทั้งก่อนและหลังการงอก สำหรับภาชนะเพาะเมล็ดนี้ ถ้าหากไม่ได้ใช้ของใหม่ควรนำมาตั้งไฟหรืออบความร้อนเพื่อฆ่าสิ่งที่อาจจะเป็นอันตรายต่อต้นกล้าด้วย

วัสดุเพาะ อาจะเป็นส่วนผสมระหว่างทรายและฮิวมันหรือปุ๋ยใบไม้ผุ วิธีเตรียมเริ่มโดยการร่อนฮิวมัสให้ได้ส่วนที่ละเอียดซึ่งลอดตะแกรงลงมา จากนั้นจึงร่อนทรายต่อ ทรายที่จะนำไปใช้คลุกเคล้ากับฮิวมัส คือส่วนของทรายหยาบที่ค้างอยู่บนตะแกรง ส่วนก้อนกรวดเล็กๆ ที่อาจจะปนอยู่ด้วยให้หยิบทิ้งไป สาเหตุที่ไม่ใช้ทรายละเอียดเพราะ ทรายละเอียดมักจะจับตัวแข็ง ซึ่งถ้าใช้ในการเพาะอาจจะเป็นอันตรายต่อต้นกล้า ปริมาณทรายหยาบจะต้องให้มีมากกว่าฮิวมัส ในอัตราส่วนฮิวมัส 1 ส่วนต่อทรายหยาบ 8-9 ส่วน

เมื่อเตรียมวัสดุเพาะแล้วให้นำไปใส่ในถาดปากกว้างหรือภาชนะโลหะ นำไปตั้งไฟหรืออบความร้อนประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อเย็นลงแล้วจึงนำไปบรรจุไว้ในภาชนะที่สะอาด จุดประสงค์ของการอบความร้อนก็เพื่อฆ่าสิ่งที่อาจจะเป็นอันตรายต่อต้นกล้า เช่น เมล็ดของวัชพืช ซึ่งถ้าปล่อยให้เมล็ดของวัชพืชเจริญเติบโตพร้อมๆ กับเมล็ดที่เพาะจะทำให้การกำจัดในภายหลังเป็นไปด้วยความยากลำบาก และอาจจกระทบกระเทือนต่อเมล็ดที่เพาะอยู่ด้วย หรือถ้าหากต้องการฆ่าเชื้อราซึ่งอาจจะมีผลต่อเมล็ดที่ยังอยู่ในเปลือกหุ้ม ให้ใช้สารละลายโพแทสเซียม ไฮดรอปซิควิโนไลน์ ซัลเฟต ชนิดเข้มข้นละลายน้ำจนเจือจาง อาจจะกะขนาดได้โดยโรยผงชนิดนี้ลงบนเหรียญบาทแล้วนำไปละลายในน้ำครึ่งลิตร รดลงบนวัสดุเพาะเป็นน้ำแรก สานละลายชนิดนี้มีราคาไม่แพง นอกจากนี้โพแทสเซียม ไฮดรอปซิควิโนไลน์ ซัลเฟต ในปริมาณ 1/8 – 1/4 ออนซ์ จะสามารถใช้ได้นาน 1-2 ฤดูกาลเลยทีเดียว

สำลี ไม่ต้องเตรียมไว้มากนัก แต่ควรเป็นสำลีชิ้นใหญ่ เพราะจะใช้ในการปิดรูที่ก้นภาชนะเพาะ

น้ำ ควรเป็นน้ำสะอาดที่ผ่านการต้มเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ แล้ว

จานหรือถาดแบนๆ ใช้สำหรับรองภาชนะเพาะเมล็ด

กระป๋องพ่นน้ำ ควรเป็นชนิดที่สามารถพ่นน้ำเป็นฝอยเล็กๆ ได้

แผ่นบังแดด สิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างสำหรับการขยายพันธุ์แคคตัสด้วยการเพาะเมล็ด คือ ต้องมีร่มเงาให้แก่เมล็ด โดยอาจจะทำแผ่นบังแดดได้อย่างง่ายดายโดยใช้กรอบเก่าที่ไม่มีกระจกขึงด้วยผ้ามัสลิน เพราะจะช่วยให้อากาศผ่านเข้าออกได้ และช่วยบังแสงแดดในเวลาเดียวกัน ในการวางกรอบไม้ควรจะให้เหลือระยะห่างประมาณ 5 เซนติเมตร และไม่ควรบังคับไว้ตลอดเวลา เพราะเมล็ดต้องการอากาศหมุนเวียน หรืออาจจะใช้อีกวิธีหนึ่งโดยการใช้เศษไม้ หนาๆ หรือกระถางมาวางไว้ทั้ง 4 มุม จากนั้นวางไม้ยาวลงบนด้านทั้งสี่แล้ววางกระดาษทิชชูลงบนไม้ สำหรับวิธีนี้อาจจะไม่ค่อยสะดวกนักตรงที่จะต้องเลิกแผ่นกระดาษออกทุกครั้งที่รดน้ำ หรือตรวจจานเพาะเมล็ด