เรื่องล่าสุด

หมวดหมู่

สกุล Echinocactus

Echinocactus

สกุล Echinocactus แคคตัสสกุลนี้มีอยู่มากกว่า 10 ชนิด ต้นมีทรงกลมถึงทรงกระบอก อาจขึ้นเป็นต้นเดี่ยวหรืออยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ บางชนิดมีใหญ่มาก อาจะมีความสูงถึง 1.8 เมตร และมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 1 เมตร ผิวต้นมีสีเขียวถึงสีเขียวอมฟ้า เนื้อเยื่อชั้น epidemis (เนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของสิ่งมีชีวิต ทำหน้าที่ปกป้องเซลล์ชั้นอื่นๆ) แข็งแรงมาก ช่วยป้องกันอันตรายจากแสงแดดที่ร้อนแรงได้ดี ตอนกลางด้านบนของต้นจะมีปุยสีขาวถึงสีเหลืองคลุมลำตันเป็นสัน 8-50 สัน มีตุ่มหนามอยู่ห่างกันเห็นได้ชัดเจน ประกอบด้วยหนามข้างที่ตรงหรือโค้ง แผ่กระจายออกมาจากตุ่มหนาม แต่บางชนิดอาจะแนบชิดไปกับผิวต้น มีความแข็งแรงมาก ประมาณ 5-12 อัน ยาวมากกว่า 5 เซนติเมตรและมีหนามกลางที่แข็งแรงกว่ายื่นตรงออกมาจากต้น 1-4 อัน ยาวประมาณอันละ 5-10 เซนติเมตร สีหนามมีตั้งแต่สีขาว สีชมพู สีเหลืองทองจนถึงสีดำ

ดอกออกเป็นวงรอบยอดของต้นซึ่งมีปุยนุ่ม ส่วนชนิดที่ต้นมีขนาดใหญ่จะออกดอกเป็นวงรอบส่วนบนของต้น ดอกมีหลายสี แต่ส่วนมากอยู่ในโทนสีเหลือง ยกเว้น Echinocactus horizonthalonius ซึ่งมีดอกมีสีชมพูจนถึงม่วง ดอกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 6.25 เซนติเมตร หลอดดอกมีลักษณะเป็นปุยนุ่ม เมื่อบานจะแผ่กว้างออก ผลมีสีเหมือนกับส่วนปุยนุ่มบนต้น ผิวภายนอกมีลักษณะเป็นขนหรือปุยนุ่มปกคลุมเมื่อแก่เต็มที่จะแห้ง

แคคตัสสกุล Echinocactus มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนกลางและทางเหนือของเม็กซิโก และทางตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกา มักพบอยู่ตามบริเวณที่เป็นหินหรือพุ่มไม้ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดได้ดี เจริญเติบโตได้เร็ว โดยเฉพาะ Echinocactus grusonii แต่มีบางชนิด เช่น Echinocactus horizonthalonius และ Echinocactus polycephalus นั้น จะเจริญเติบโตช้า หากเกิดจากการเพาะเมล็ดเมื่อต้นยังเล็ก ควรระวังอันตรายจากอุณหภูมิต่ำและควรงดให้น้ำเมื่อถึงฤดูหนาว

สกุล Neoporteria

Neoporteria

สกุล Neoporteria สกุลนี้มีอยู่ด้วยกัน 24 ชนิด และหลายสายพันธุ์ ชื่อสกุล Neoporteria ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Carlos Porter นักกีฏวิทยาชาวชีลี ลักษณะรูปร่างต้นเป็นทรงกลมขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 10 เซนติเมตร แต่ก็พบที่เป็นทรงกระบอกสูงกว่า 1.5 เมตร ลำต้นเป็นสันแข็งแรงมีประมาณ 10-25 สัน ตุ่มหนามเป็นรูปไข่ยาวมากกว่า 1.5 เซนติเมตร ประกอบไปด้วยหนามข้าง 10-50 อัน ส่วนหนามกลางมีมากกว่า 6 อัน หนามอันที่ยาวที่สุดยาวประมาณ 3.5 เซนติเมตร มีหลายสี เช่น สีเหลืองทอง สีน้ำตาล และสีดำ ดอกก็มีหลายสีด้วยกัน เช่น สีชมพู สีแดง สีแดงม่วง กลีบดอกแคบยาวประมาณ 5 เซนติเมตร มักผลิดอกตรงกลางยอดลำต้น และบานไม่มากนัก ชนิดที่มีต้นขนาดเล็กมักผลิดอกดก ผลมีลักษณะยาวรีขนาดเล็ก เมื่อแก่จะเป็นสีเหลืองจนถึงสีแดง

แคคตัสสกุล Neoporteria มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนกลางและตอนเหนือของชีลี ขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด ต้องการดินที่มีการระบายน้ำที่ดี ในฤดูร้อนควรให้น้ำอย่างเพียงพอ และควรงดให้น้ำในฤดูหนาว

สกุล Uebelmannia

Uebelmannia

สกุล Uebelmannia แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิด ลำต้นมีลักษณะทรงกลม และทรงกระบอก ขนาดเล็ก ลำต้นเป็นสันสีน้ำตาลอมแดง ผิวต้นเป็นมันคล้ายเคลือบด้วยขี้ผึ้ง สันต้นประกอบไปด้วยตุ่มหนามที่มีปุยสีขาว ปกคลุม และมีหนามแข็ง สั้นๆ ตั้งตรงสีขาวอยู่ 2-3 อัน ดอกมีสีเหลือง ลักษณะทรงกรวย ขนาดเล็ก จะผลิดอกบริเวณปลายยอดของต้น ผลมีลักษณะทรงกลมหรือทรงกระบอก สีเหลืองอมเขียวหรือสีแดง เกิดบริเวณปลายยอดของต้น เมล็ดมีลักษณะทรงกลมหรือรูปไข่ สีดำ หรือสีน้ำตาล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.3 มิลลิเมตร

แคคตัสในสกุล Uebelmannia มีถิ่นกำเนิดในบราซิล ชอบดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ ร่มเงา ความชื้นในอากาศต่ำ และอากาศอบอุ่น และที่สำคัญก็คือไม่ควรงดให้น้ำโดยการรดลงดินโดยตรง แต่ควรให้โดยการฉีดพ่นเป็นฝอยจะดีกว่า

กลุ่ม Cereus

Cactus6

กลุ่ม Cereus แคคตัสกลุ่มนี้เรารู้จักกันในชื่อของกระบองเพชร จึงไม่มีใบหรือ giochids (หนามหรือขนแข็งที่มีปลายโค้งงอ อาจจะอยู่รวมกันเป็นกระจุกๆ ) เมล็ดมีสีดำหรือน้ำตาล ลักษณะต้นเป็นทรงกระบอก มีสันและหนามปกคลุม หรือไม่มีก็ได้

แคคตัสในกลุ่มนี้ปลูกเลี้ยงง่ายและชอบแสงแดดมาก มีอยู่ด้วยกันหลายสกุล เช่น Armatocereus , Arrojadoa, Bergerocactus , Borzicactus , Brachycereus , Browningia , Calymmanthium , Carnegiea , Cephalocereus , Cereus , Chamaecereus , Cleistocactus ,Corryocactus , Dendrocereus , Echinocereus , Erdisia , Escontria , Eulychnia , Harrisia , Hildwinters , Jasminocereus , Lemaireocereus , Lophocereus , Machaerocereus , Micranthocereus , Monvillea , Mytillocactus , Neoraimondia , Nyctocereus , Pachycereus , Peniocereus , Pilosocereus , Rathbunia , Selenicereus , Stetsonia Trichocereus , Cereus jamacaru , Cereus peruvianus , Cereus Chalybaeus เป็นต้น

ดินปลูกสำหรับแคคตัส

คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันว่า แคคตัสเป็นพืชที่ชอบขึ้นอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศร้อนแห้งแล้ง อย่างทะเลทราย แต่ในความเป็นจริงแล้วแคคตัสสามารถเจริญเติบโตได้ดีในหลายๆ พื้นที่ เช่น บริเวณชายฝั่งทะเล บริเวณทุ่งหญ้า ในป่าที่มีความชื้นสูง ที่ความสูงระดับน้ำทะเลไปจนถึงที่ระดับความสูงกว่า 4,000 เมตร อากาศหนาวเย็น เช่นทางตอนเหนือและตอนใต้ของอเมริกา ที่อากาศร้อนแห้งแล้ง เช่น ทะเลทราย บริเวณที่ราบ ตามซอกไหล่กินเขาซึ่งมีดินอุดมสมบูรณ์ หรือเป็นหินแข็ง

นอกจากนี้ยังพบว่ามีแคคตัสหลายชนิดที่เจริญเติบโตได้โดยอาศัยร่มเงาและความชื้นจากพืชในกลุ่ม Xerophyte พวก Selaginella Lepidophylla (Resurrection Plant) เช่น แคคตัสพวก Ephithelantha bokei ซึ่งเจริญเติบโตขึ้นจากเมล็ด นั่นแสดงให้เห็นว่าแคคตัสสามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพพื้นที่ และสภาพอากาศของโลกเกือบทั่วไปไม่จำกัด เฉพาะแถบทะเลทรายเท่านั้น แคคตัสจึงเหมือนกับพืชชนิดอื่นๆ ที่ต้องการวัสดุปลูกที่มีความอุดมสมบูรณ์ หรือเป็นดินผสมที่มีความอุดมสมบูรณ์ หรือเป็นดินผสมที่มีความอุดมสมบูรณ์ โปร่งรวน น้ำไหลผ่านได้สะดวก ไม่อุ้มน้ำ และรักษาความชื้นได้ดี

ส่วนผสมของวัสดุปลูกแคคตัสนั้นโดยส่วนมากนิยมใช้ ดังนี้
– ดิน ควรเป็นดินร่วนหรือดินร่วนเหนียว โดยการนำดินไปตากให้แห้ง นำไปทุบให้ร่วนเป็นเม็ดเล็กๆ จากนั้นให้นำไปตากแดดจัดๆ อีกประมาณ 1-2 วัน ระวังอย่าให้ดินที่ตากแดดได้ที่แล้วถูกฝนหรือถูกความชื้นก่อนที่จะนำไปผสมกับวัสดุอื่น
– ทรายหยาบ เป็นส่วนผสมหลักที่จำเป็นสำหรับการปลูกแคคตัส สาเหตุที่ไม่ใช้ทรายละเอียดในการผสมเพราะจะทำให้ดินผสมแน่นเกินไป ทรายที่ใช้อาจเป็นทรายทะเลหรือทรายน้ำจืดก็ได้ ควรมีลักษณะหยาบเป็นเม็ดๆ ขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว เพราะจะช่วยให้ดินผสมโปร่ง ระบายน้ำได้ดี ไม่มีน้ำขังแฉะเมื่อถูกฝนหรือรดน้ำ ให้นำทรายหยาบไปล้างน้ำให้สะอาดและนำไปตากแดดให้แห้งดีก่อนจะนำไปใช้
– ถ่านป่น คือ ถ่านดำนำมาทุบให้แตกเป็นก้อนเล็กๆ
– ใบไม้ผุ จะใช้ใบไม้อะไรก็ได้ที่สามารถย่อยสลายได้ง่าย ยิ่งถ้าเป็นใบก้ามปูได้ยิ่งดี แต่บางครั้งอาจใช้กากเมล็ดฝ้าย เปลือกถั่ว ขี้เลื้อย หรือแกลบคั่ว อย่างใดอย่างหนึ่งแทนก็ได้
– ปูนขาว จะใช้เพียงเล็กน้อยเพื่อช่วยปรับสภาพของดินให้ดีขึ้น
– กระดูกปน จะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ แต่ถ้าจะใช้ควรจะใช้แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อัตราส่วนในการผสม ได้แก่

  • ดิน 2 ส่วน
  • ทรายหยาบ 3 ส่วน
  • ถ่านป่น 1 ส่วน
  • ใบไม้ผุ 1 ส่วน

นอกจากนี้ยังอาจผสมปุ๋ยคอกหรืออิฐหักเข้าไปด้วยก็ได้

เมื่อเตรียมวัสดุต่างๆ ครบเรียบร้อยแล้วให้นำทรายหยาบมากองบนพื้นปูนเรียบๆ โดยกองทรายเป็นรูปกรวยคว่ำ นำดินมาโรยทับกองทรายหยาบ แล้วใช้จอบหรือเสียมสับจากด้านริม (เหมือนกับการผสมปูนซีเมนต์ก่อสร้าง) เมื่อผสมเข้ากันดีแล้วให้เกลี่ยกองทรายเป็นรูปกรวยคว่ำอีกครั้ง แล้วนำใบไม้ผุเข้ามาโรยทับ ผสมเช่นเดียวกันกับครั้งแรก ากนั้นเติมถ่านป่น ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ในขณะเดียวกันก็ให้โรยปูนขาวและกระดูกป่นลงไปด้วย เมื่อผสมเข้ากันดีแล้วจึงนำไปใช้เป็นดินปลูกต่อไป